วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำร้อน

เครื่องปรุง

  • ข้าวโพด ดัดกำลังกิน ไม่แก่จัด
  • หัวหอม
  • กระเทียม
  • พริกขี้หนูสด หรือพริกแห้ง
  • รากผักชี
  • เกลือ
  • ผักตามชอบ

วิธีทำ

สำหรับสูตรนี้ควรอย่างยิ่งที่จะเสาะหาข้าวโพดที่มีเปลือกมาด้วย ขณะปอกระมัดระวังอย่าให้เปลือฉีกขาดเสียหายมากนัก เพราะเราต้องใช้เปลือกด้วย

แต่ถ้าขาดแคลนจริง ๆ ให้ใช้ใบตองแทนคงพอไหว นำเกลือ พริกขี้หนู กระเทียม หัวหอม รากผักชี ลงโขลกในครกให้แหลกกำลังดี ไม่ต้องละเอียดยิบเหมือนปั่นด้วยเครื่องปั่น - เครื่องบดไฟฟ้าหรอก

แล้วฝานข้าวโพดเป็นชิ้นบาง ๆ นำลงตำให้แหลก ตำดูพอเคล้าคละกับเครื่องจนผสมกันดีแล้ว บรรจงตักใส่เปลือกข้าวโพด ตักเป็นคำ ๆ พองามแล้วห่อตามยาวตามแนวเปลือก แล้วมัดห่อนั้นด้วยเปลือกข้าวโพดนั่นแหละ ฉีกเปลือกข้าวโพดเป็นเส้นมาผูกมัดห่อให้อยู่เป็นคำ เสร็จแล้วจัดขึ้นวางเรียงปิ้งเหนือเตาถ่าน

ไม่นานกลิ่นหอมจะเริ่มตลบอบอวน เมื่อเปลือกข้าวโพดเปลี่ยนสีน้อย ๆ จึงยกลงมาแกะรับประทานเป็นคำ ๆ กับข้าวสวย หรือข้าวเหนียว เคียงด้วยแตงกวา ถั่วฝักยาว หรือผักสดตามใจปรารถนา กรุบกรอบเผ็ดร้อนอร่อยเอร็ดไปอีกแบบ

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้าวโพดบำรุงตับ ขับปัสสาวะ

ข้าวโพดต้มร้อน ๆ แช่น้ำเกลือ หรือข้าวโพดปิ้งกลิ่นหอมกรุ่น ยั่วใจ นับเป็นของที่เราท่านล้วนเคยรับประทานกันมาแล้วทั้งนั้น



มีใครบ้างที่ไม่เคยลิ้มลองข้าวโพดสักฝัก นอกจากนี้ข้าวโพดยังอร่อยได้ในอีกหลายวิธี เช่น ข้าวโพดคลุกน้ำตาลและมะพร้าวขูดหวานมัน หรือแป้งข้าวโพดที่นำมาปรุงอาหารหวานคาวได้อีกหลายรูปแบบ หรือข้าวโพดอ่อนฝักน้อยนิด เราก็นำมาใส่ผัดผักต่าง ๆ แกงเลียงป่า หรือทอดมันรับประทานเคียงเนื้อสเต็ก

ข้าวโพดมีถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่ที่อเมริกาโน่นไง ข้าวโพดเป็นพืชพื้นเมืองของที่นั่น แต่ พ.ศ. นี้ประเทศในเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นทั่วไปก็สามารถปลูกข้าวโพดกันได้ทั้งนั้น คิดค้นผสมพันธ์ไปเรื่อยจนพัฒนาจากพันธุ์เมล็ดห่าง เป็นพันธุ์เมล็ดงามเรียงเต็มฝัก เมล็ดล่อนกรอบนุ่มไม่เหนียวติดซัง นอกจากคนชอบรัปประทานแล้ว สัตว์สวยงามอย่างม้าก็โปรดปรานข้าวโพดด้วยเหมือนกัน



ข้าวโพดหรือที่คนเมืองเหนือเรียกว่าข้าวสาลีนั้นมีต้นสูงประมาณ 1-3 เมตร เนื้อในลำต้นหยุ่นฟ่าม ใบเรียวเป็นแนวตรง ริมขอบมีขนอ่อน เกสรตัวผู้มีกลิ่นหอม เกสรตัวเมียงอกเป็นรูปคล้ายทรงกระบอก เส้นไหมยาวที่ยื่นพ้นตรงยอดปลายเรียกว่า ไหมข้าวโพด ส่วนผลของมันเราเรียกว่าฝัก เมล็ดที่เรียงบนฝักมีทั้งสีเหลืองอร่าม สีเหลืองอ่อนจนเกือบขาว สีม่วงค้ำเกือบดำ ซึ่งก็แล้วแต่สายพันธุ์



เคยมีเรื่องที่ชาวไร่พูดกันเล่นว่าหากคนปลูกข้าวโพดมีฟันสวยงาม ข้าวโพดที่ปลูกฝักก็จะงามมีเมล็ดเรียงแถวไปด้วย แต่เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเย้ากันเล่นสนุก ๆ ไม่ใช่เรื่องจริงจังถึงกับต้องไปท้าพิสูจน์กันหรอก

สิ่งที่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องน่ารับรู้เอาไว้คือสรรพคุณทางยาอันมากล้นสารพัดของข้าวโพด ซึ่งมีคุณประโยชน์ตั้งแต่รากถึงยอดเลยทีเดียว

เมล็ดข้าวโพดที่เราแทะจากฝักมีรถนุ่มชุ่มคอ มีฤทธิ์ฝาด สมาน บำรุงปอด กระเพะอาหาร ช่วยกระตุ้่นให้เจริญอาหาร ต้มน้ำดื่มช่วยขับปัสสาวะได้สะดวก

ไหมข้าวโพด หรือยอดเกษรตัวเมีย รสชุ่มนุ่มนวล แต่มีฤทธิ์ทางขับร้อน ขับปัสสาวะ ขับน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดี แก้ไตอักเสบ เป็นดีซ่าน บำรุงตับ แก้เบาหวาน อาเจียนเป็นเลือด โพรงจมูกอักเสบ เลืิอดกำเดาออกง่าย

ตำรับยาแผนโบราณว่าไว้ว่า

  • ไหมข้าวโพดพอประมาณนำมาต้มให้เข้มข้น รับประทานแก้โรคใตอักเสบได้
  • หากต้มไหมดื่มแทนน้ำชา สามารถขับปัสสาวะได้
  • ต้มไหมข้าวโพดกับเนื้อสัตว์รับประทานแก้โรคไอเป็นเลือด สำหรับผู้ป่วยจากการทำงานหนัก
  • ไหมแห้ง 30 กรัมต้มน้ำดื่ม สามารถบรรเทาอาการโรคเบาหวาน
  • ไหมแห้ง เปลือกกล้วยหอมแห้ง เปลือกแตงโมแห้ง ปริมาณเท่ากัน ต้มน้ำดื่ม สามารถรักษาอาการความดันโลหิตสูง
  • ซังข้าวโพด รสชุ่มนุ่มนวล มีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการท้องร่วง โรคบิด โรคบวมน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ และบำรุงม้าม
  • ต้นข้าวโพดและใบข้าวโพด มีสรรพคุณแก้โรคนิ่ว ช่วยขับปัสสาวะ โดยนำมารับประทานสด ๆ หรือตากแห้งแล้วต้มน้ำดื่ม
  • รากข้าวโพดมีฤทธิ์ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นเลือด โรคนิ่ว ช่วยขับปัสสาวะ โดยใช้รากแห้งนำไปต้มน้ำดื่ม


  • ซังข้าวโพดหากนำซังแห้งมาต้มน้ำดื่ม หรือเผาเป็นถ่านผสมน้ำดื่ม มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ช่วยรักษาโรคนิ่ว
  • ไหมข้าวโพดแห้งนั้นนำมาใส่กล้องยาสูบแล้วสูบเอาควัน ท่านว่ารักษาโรคความจำเสื่อม หรือโรคขี้ลืมได้ซะด้วย


จะเห็นได้ว่าข้าวโพดต้นเดียวมีสรรพคุณอเนกอนันต์อย่างน่าอัศจจย์เหลือเกิน

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แกงคั่วกระท้อน - อาหารแทนยา




เครื่องปรุง
  • กระท้อน
  • ไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อกบ
  • ข่า
  • ตะไคร้
  • พริกแห้ง
  • ผิวมะกรูด
  • หัวหอม
  • กระเทียม
  • เกลือ
  • ใบโหระพา
  • กะทิ

วิธีทำ

ปอกเปลือกผลกระท้อน แล้วสับ - สับ - สับเนื้อกระท้อนแบบเดียวกับสับมะละกอทำส้มตำ แล้วแช่น้ำเกลือทิ้งไว้นาน 1 ชั่วโมงจากนั้นใส่ข่า ตะไคร้ หัวหอม กระเทียม พริกแห้ง ผิวมะกรูดลงในครกแล้วลงมือกระหน่ำตำให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งกะทะ ใช้ไฟแรงเพื่อให้กะทิเดือดหอมมัน แล้วจึงใส่เครื่องแกงที่ตำละเอียดลงผัดเคล้ากะทิ โรยเกลือลงสักนิด พลิกตะหลิวผัดไปมาอีกสักหน่อยก็ใส่เนื้อไก่ หรือเนื้ออะไรก็ตามใจชอบ ลงผัดคลุกเคล้ากันในกะทะ คอยสังเกตเมื่อเนื้อใกล้สุกก็เติมน้ำลงไปพอซดคล่องคอ รีบแช่กระท้อนอีก 2-3 น้ำเกลือ สรงขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ พอดีในกะทะเดือดพลุ่งจึงใส่กระท้อนลงไป ระหว่างนี้ปรุงรสชิมดูให้ถูกใจ ...

อาจจะโรยน้ำตาลนิดหน่อย เมื่อเดือดคราวนี้ก็เด็ดใบโหระพาโรยหน้าแล้วยกเสิร์ฟได้เลย จะรับประทานเล่นเป็นกับแกล้มหรือรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กระท้อนดับพิษร้อน - อาหารแทนยา

คนไทยนั้นได้ชื่อว่าเป็นนักชิมและนักคิดค้นตำรับอาหารจานอร่อยมาแสนนาน แม้แต่ผลไม้รสเปรี้ยวอมฝาดสุดใจขาดดิ้นอย่างกระท้อน คนไทยยังนำมาทำขนมหรือปรุงเป็นอาหารทานได้หลายต่อหลายสูตร



ฉะนั้น ประโยคที่ว่า "กระท้อน" ยิ่งทุบยิ่งหวาน ซึ่งได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วนั้น คงไม่ใช่ว่ากันไปเล่น ๆ เป็นแน่

ที่ฝรั่งเศสเขายังมีเทคนิคทำนองเดียวกับกระท้อนของเราเลย คือก่อนที่จะดื่มไวน์อย่างแสนโแมนติกนั้น วิธีที่ถูกต้องควรเขย่าแก้ไวน์ก่อน เพื่อเป็นการปลุกเร้าให้ไวน์ตื่น จากนั้นเมื่อจิบไวน์เราจึงจะได้รสที่แสนนุ่มชุ่มใจไงละ คงเหมือนการรับประทานกระท้อนของบ้านเรา ต้องทุบเพื่อปลุกไล่รสฝาดให้กระเจิดกระเจิงแตกซ่าน มีรสหวานแทรกผ่านขึ้นมาให้ได้อร่อยลิ้น



คนไทยเรานิยมปลูกต้นกระท้อนเพื่อนำความร่มรื่นมาสู่บ้านและกระท้อนยังเป็นไม้มงคลที่เชื่อว่า สามารถสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองให้ก้องไปไกลแสนไกล

กระท้อนเป็นไม้ขนาดกลางถึงใหญ่มีทั้งลูกเล็ก ๆ รถฝาดเปรี้ยวสุดฤทธิ์ และผลโตเนื้อขาวเหมือนปุยเมฆ มีรสหวานซ่อนเปรี้ยวในแบบของกระท้อนห่อ นำมารับประทานกับน้ำตาล หรือพริกเกลือก็ได้รสถึงใจ หรือดัดแปลงเป็นผลไม้แช่อิ่มทรงเครื่องก็ได้รสเด็ดขาดบาดใจ

กระท้อนมีใบสีเขียวมันปลาบ ผลสีน้ำตาลอมเหลือง ยามฝนโปรยชุ่มลายดิน พ่อบ้าน แม่บ้านคงไม่ต้องนึกเมนูแสนอร่อยในวันนั้นให้วุ่นวาย ไปเก็บกระท้อนมาสักตะกร้าน้อย ๆ แบ่งให้ลูกรับประทานสน ๆ กับพริกเกลือ ที่เหลือนำมาปรุงเป็นอาหารรสอร่อยได้อีกต่างหาก



ไม้ไทยไม่ว่าใบหรือผลก็มีสรรพคุณทางยา รากของต้นกระท้อนนั้นหากนำมาสุมไฟพอให้เป็นถ่าน สามารถนำมารับประทานแก้ไข้ตัวร้อนได้อย่างชะงัด บำบัดอาการไข้รากสาดและโรคบิดได้อีกต่างหาก แม้เพียงรับประทานผลของมันก็ยังช่วยระบายท้องได้อย่างดี เรียกว่ามีประโยชน์ทั้งทางด้านโภชนาการและความร่มรื่นภายในบริเวณบ้าน ให้ทั้งความหมายที่เป็นสิริมงคลอเนกอนันต์

หากรับประทานกระท้อนห่อจนเข็ดฟันแล้ว ลองนำมาปรุงเป็นอาหารคาวรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ดูบ้างจะเป็นไร แก้หนาวแก้เซ็งหัวใจ ระบายท้องดับพิษไข้ได้ดีอีกต่างหาก

กระชายหายคาวหายคลายจุกเสียด อาหารแทนยา

ในครัวของหญิงไทยชายไทยควรอย่างยิ่งที่จะมีกระชายไว้ติดครัว แม้ว่าครัวสมัยใหม่นี้จะไม่ได้ปรุงอาหารกันทุกวันแล้ว แต่การมีกระชายไว้ประจำครัวก็สามารถให้ประโยชน์ได้ทั้งในการหยิบมาปรุงอาหารที่คาวจัด หรือเป็นยาประจำบ้านได้อีกต่างหาก

กะเพราเผ็ดร้อนบำบัดไข้

นักชิมระดับเซียนเคยสรุปกันเหนือจานกบผัดกะเพราว่าอาหารไทยมีเสน่ห์ก็ตรงกลิ่นรสที่เผ็ดร้อน ซึ่งนับเป็นเสน่ห์ที่ชาติอื่น ๆ ต้องยกนิ้วให้



และความร้อนแรงที่มีเสน่ห์กว่าพริกนั่นก็คือ "กะเพรา" นั่นเอง กะเพราเป็นพืชผักสในครับกอีกชนิดหนึ่งที่ปลูกได้ง่ายเหลือเกิน แม้ปลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ แค่นำกิ่งกะเพราไปปัก ๆ ไว้แถวหลังบ้านให้ใกล้น้ำใกล้ปุ๋ยพอควร เผลอแป๊บเดียวกะเพราก็งามก็เติมโตให้เด็ดมาปรุงอาหารอีกจนได้

กะเพราเป็นไม้ล้มลุกที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ส่วนที่เรานำมาปรุงอาหารคือ "ใบ" ซึ่งมีลักษณะเป็นวงรี ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก กลิ่นฉุน กระเพรามี 2 ชนิดคือ
  • กะเพราขาว มีสีเขียวอ่อนตลอดใบ
  • กะเพราแดง มีสีเขียวอมแดงม่วง มีธาตุฟอสฟอรัสและวิตามินเอ มากกว่ากะเพราขาว


สำหรับอาหารจายฮิตที่ทุกคนเคยลิ้มชิมรถอยู่บ่อยครั้ง นึกอะไรไม่ออกก็สั่งจานนี้ได้ทุกหนแห่ง ตั้งแต่ร้านหน้าปากซอย จนถึงภัตตาคารใหญ่ จานฮิตที่ว่านั้นก็คือ ข้าวราผัดกะเพรา หมู เนื้อ ไก่ กุ้ง หรือไม่ก็สั่งมาเป็นกับข้าวกับแกล้ม เช่น ผัดเผ็ดหมูป่า ไข่เยี่ยวม้า ผัดขี้เมาเนื้อสัน จานร้อนเหล่านี้ต้องผัดและปรุงด้วยกะเพราทั้งสิ้น

ยำหัวปลี

ยำหัวปลี



  • เครื่องปรุง
  • หัวปลี
  • มะขามเปียก
  • กะทิ
  • ไก่ กุ้ง ปลา
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำปลา
  • น้ำพริกเผา
วิธีทำ
นำหัวปลีมาหั่นซอยแบบค่อนข้างละเอียด ไม่ควรหั่นชิ้นใหญ่นัก นำไปแช่ในน้ำส้มมะขามเปียกคั้น ขยำให้ทั่วแล้วแล้วแช่พักไว้สักครู่เพื่อแก้รสฝาด และป้องกันไม่ให้หัวปลีดำไม่น่ารับประทาน

นำปลาและเนื้อไก่ มาต้มหรือย่าง หากย่างจะทำให้เนื้อแน่นและกลิ่นหอมเป็นพิเศษ ขั้นต่อมาก็คั้นกะทิ แยกหัวกะทิไว้สักเล็กน้อยแล้วนำไปตั้งไฟ ขณะที่ใกล้เดือด ฉีกเนื้อปลา และเนื้อไก่ลงไป ฉีกชิ้นหยาบ ๆ ก็ได้

เติมน้ำพริกเผา น้ำตาลปิ๊บ น้ำปลา และน้ำส้มมะขามเปียก ควรเติมตามปริมาณหัวปลี ว่าปรุงมากน้อยเพียงใด ปรุงตามความเหมาะสม ให้เด่นด้วยรสหวานเคล้าเปรี้ยว มีรสเค็มจาง ๆ ตามหลัง เมื่อกะทิเดือดจึงยกลงจากเตา บีบหัวปลีให้สะเด็ดน้ำ นำมาคลุกเคล้าในน้ำกะทิร้อน ๆ ก่อนยกเสร็ฟ ราดหัวกะทิและโรยด้วยกุ้งลวก จะิยิ่งยั่วน้ำลายมากขึ้น จากนี้รับประทานเล่นเป็นกับแกล้มก็ดีเลิศแน่ รับประทานคู่กับถั่วลิสงคั่วเพิ่มความอร่อยจนลืมไม่ลง